‘Freediving’ คือ การดำน้ำแบบตัวเปล่า โดยปราศจากอุปกรณ์ช่วยหายใจใดๆ ทั้งสิ้น เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมซึ่งปลดปล่อยร่างกายให้เป็นอิสระ มีสมาธิจดจ่ออยู่กับตนเอง , ธรรมชาติใต้ท้องทะเลอันแสนน่ามหัศจรรย์ โดยมีสถิติเคยบันทึกไว้ว่าเคยมีมนุษย์ดำน้ำได้ลึกถึง 100 – 300 เมตร ปี 2016 Giorgos Panagiotakis สามารถดำน้ำลึกได้ถึง 300 เมตร นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงที่สามารถดำได้ลึกที่สุด คือ Natalia Molchanova ชาวอิตาลี เธอดำได้ถึง 237 เมตร โดยกิจกรรม Freediving ผู้เล่นจำเป็นต้องมีทักษะและประสบการณ์เป็นอย่างสูงจึงจะสามารถเล่นได้สนุก
‘Freediving’ อย่างไรให้ปลอดภัย
ต้องมีเพื่อน
กฎเหล็กข้อแรกของ Freediving คือ ต้องมีเพื่อนไปด้วยอย่างน้อย 1 คน ห้ามดำน้ำในลักษณะนี้คนเดียวเด็ดขาด !! โดยจำเป็นต้องมีเพื่อนคอยมองอยู่ด้านบนเรือหรือบนผิวน้ำ เผื่อคนที่กำลัง Freediving เกิดอาการไม่สู้ดีหรือต้องการความช่วยเหลือด่วน เช่น ใกล้หมดสติเต็มทีเนื่องจากกลั้นหายใจนานเกินกว่าร่างกายจะรับไหว หลายต่อหลายคนหมดสติ เนื่องจากความผิดปกติของระบบไหลเวียนโลหิต และเสียชีวิตอย่างน่าเศร้าสลด
ฝึกหายใจแบบเฉพาะ
เพื่อกักเก็บอากาศไว้ให้นานที่สุด อีกทั้งยังต้องฝึกวิธีทำสมาธิใต้น้ำลึกด้วย เพราะคุณยิ่งดำดิ่งลึกมากเท่าไร ก็จำเป็นต้องรู้วิธีเคลื่อนไหวลำตัวแบบปล่อยวางมากขึ้นเท่านั้น ปล่อยให้ร่างกายไหลไปอย่างอิสระไม่ใช้พลังงานเพื่อทำให้ นักกีฬา Freediving ที่เก่งๆ สามารถดำลึกได้มากกว่า 100 เมตร และจะอยู่ในลักษณะท่าทางนิ่งมาก โดยอัตราการเต้นของหัวใจ จะเปลี่ยนไปจากคนปกติ 60 ครั้ง/นาที อาจเหลือ 20-30 ครั้ง/นาที ต่อนาทีเท่านั้น
Static Apnea
ก่อนเริ่มดำน้ำ จำเป็นต้องหายใจให้ออกซิเจนเข้าไปเต็มที่ ด้วยวิธีหายใจ 3 ขั้นตอน ไก้แก่ หายใจด้วยกระบังลม เพราะคนปกติคนทั่วไปจะหายใจด้วยปอดเพียงอย่างเดียว จึงส่งผลให้อากาศเข้าไปได้น้อยกว่า โดยการหายใจเพื่อเตรียมความพร้อมนี้จำเป็นต้องขยายพื้นที่บริเวณด้านล่างของปอด ต้องขยายกระบังลมด้วยการผ่อนคลายท้อง ท้องจะต้องป่องออกมามาก ส่วนขั้น 2 คือ หายใจด้วยปอดตามปกติ และขั้นตอนสุดท้าย ให้แบะไหล่ออกจากกันเพื่อเพิ่มพื้นที่ปอดด้านบน แล้วก็ดันเพื่อให้อากาศเข้าไปมากกว่าเดิม อ้างับ อ้างับ จนอากาศเข้าไปไม่ได้อีกต่อไป แล้วค้างไว้ประมาณ 2 – 3 วินาที จึงค่อยๆ ผ่อนลมหายใจออกอย่างช้าๆ โดยมีหลักการสำคัญ คือ ยิ่งหายใจเข้าเท่าไร ก็ต้องใช้เวลาหายใจออกเป็น 2 เท่า
ทั้งนี้แหล่ง Freediving ของไทยก็มีมากมาย เช่น เกาะลันตา , เกาะเต่า , เกาะภูเก็ต เป็นต้น ซึ่งมีโรงเรียนสอนดำน้ำเป็นผู้ดูแลเรื่องสถานที่พร้อมอำนวยความสะดวกให้เกิดความปลอดภัยต่อชีวิตมากที่สุด